“หุ้นเอเชีย”เขียวสดใส อานิสงส์ดาวโจนส์รีบาวด์แรง ‘นิเคอิ-ฮั่งเส็ง’ พุ่ง 3%

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

“ตลาดหุ้นเอเชีย”เช้าวันนี้เขียวสดใส หลังจากที่ดัชนีหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาดรีบาวด์ขึ้นร้องแรงกว่า 2% ในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา แม้ว่าในการซื้อขายช่วงแรก นักลงทุนจะผิดหวังกับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ออกมาสูงกว่าคาด จนดัชนีปรับตัวลดลงรุนแรงก็ตาม
โดยช่วงเช้าวันนี้(14 ต.ค. 65) ตลาดหุ้นเอเชียปรับเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก นำโดย

– ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei225 ปรับขึ้นราว 3.49%

– ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang seng ปรับเพิ่มราว 3.26%

– ตลาดหุ้นไต้หวัน ดัชนี Taiwan Weighted ปรับเพิ่มขึ้นราว 2.67%

– ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ดัชนี KOSPI ปรับเพิ่มขึ้นราว 1.7%

– ตลาดหุ้นจีน ดัชนี Shanghai ปรับเพิ่มขึ้นราว 1.57%

– ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ เนื่องในวันหยุดพิเศษ

 

โดยการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ถือว่าผันผวนสูงมาก เพราะช่วงแรกที่เปิดทำการดัชนีปรับตัวลดลงไปกว่า 550 จุด หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อการใช้จ่ายในฝั่งผู้บริโภคเดือนก.ย. 2565 ขยายตัว 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.1% และหากเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า เพิ่มขึ้นในระดับ 0.4% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.3%

อย่างไรก็ตามระหว่างวัน ดัชนีหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาด สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้อย่างร้อนแรง โดยดัชนีดาวโจนส์รีบาวด์ขึ้นจากช่วงลบราว 550 จุด กลับมาปิดบวกได้ถึง 827 จุด ซึ่งนับเป็นเปอร์เซนต์การรีบาวด์ขึ้นมากสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563

การปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นเอเชียในเช้าวันนี้ ได้อานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาด นำโดย ดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดตลาดปรับเพิ่มขึ้น 2.83% ดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้น 2.60% และ ดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 2.23%

การรีบาวด์ของตลาดหุ้นสหรัฐหลังจากที่ร่วงลงไปหนัก อาจเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มมองว่า ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย.ที่ออกมา 8.2% มีแนวโน้มจะลดลงในระยะข้างหน้า

Liz Ann Sonders หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุน Charles Schwab กล่าวว่า นักลงทุนเชื่อว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่เห็นในเดือนล่าสุดอาจจะเป็นการช็อกตลาดครั้งสุดท้าย และหลังจากนั้นจะเริ่มลดลง แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดในระยะข้างหน้า ยังเต็มไปด้วยความผันผวน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐในระยะถัดไป นักลงทุนต่างรอดูการเปิดเผยผลดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะเริ่มจากกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่จะเปิดเผยตัวเลขในคืนนี้(14ต.ค.) เพื่อดูว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากน้อยแค่ไหน