คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ขณะที่ธุรกิจพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง ปตท.ประกาศลงทุนในธุรกิจยาเต็มตัว เพื่อขับเคลื่อนเป็นอุตสาหกรรม new S-curve ของประเทศ และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าปีละนับแสนล้านบาท
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ได้จัดทำบทวิจัยเรื่อง “อุตสาหกรรมยา” หนึ่งในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องสำคัญของธุรกิจ “เฮลท์แคร์” ที่มีความสำคัญและมีแนวโน้มเติบโต สะท้อนได้จากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้บริโภค กว่า 30-40% เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับ “ยา”
ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านยาที่มีสัดส่วนค่อนข้างสูง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่ปรับเพิ่มขึ้น ตามความซับซ้อนของโรคและเทคโนโลยี ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงความต้องการยารักษาโรคที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มีมากขึ้น และความต้องการยาในการรักษาโควิด-19 ที่น่าจะยังคงมีอยู่
โอกาสและความท้าทายอุตฯยา
แม้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ความต้องการยารักษาโรคชนิดอื่นอาจลดลง เนื่องจากผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มคนไข้ชาวต่างชาติ (medical tourism) เกือบทั้งหมดที่ไม่ได้เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในไทย ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563
เพราะการระบาดของโควิด-19 แต่ความต้องการยาในประเทศยังคงเพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการนำเข้ายาของไทยในปี 2564 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 13% เทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการนำเข้ายาเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับทิศทางของตลาดยาในประเทศปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น จนทำให้คาดว่าความต้องการยาเพื่อรักษาโควิด-19 อาจปรับตัว ลดลง แต่ในทางกลับกันอาจจะทำให้คนไข้ไทยกลุ่มเดิมที่รักษาโรคทั่วไป
รวมถึงคนไข้ต่างชาติบางกลุ่มทยอยกลับมาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทยเพิ่มขึ้น และแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภายหลังจากการที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (aged society) ในปีนี้ ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรค NCDs ในกลุ่มผู้สูงอายุอาจมีมากขึ้น และน่าจะหนุนให้ปริมาณความต้องการใช้ยาเพื่อรักษาโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการสุขภาพแบบครบวงจร น่าจะเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงยารักษาโรคได้อย่างปลอดภัยและทั่วถึงมากขึ้น
ตลาดยา 2.3 แสนล้านอยู่ที่ไหน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า มูลค่าตลาดยาในปี 2565 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.33-2.38 แสนล้านบาท เติบโตที่ 3.0%-5.0% (YOY) เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ขยายตัว 2.5% (YOY) โดยแบ่งเป็นการจำหน่ายผ่านโรงพยาบาลรัฐ 60%
ซึ่งครอบคลุมระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลหลักของประเทศ โรงพยาบาลเอกชน 25% และร้านขายยาอีก 15% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การจำหน่ายผ่านช่องทางโรงพยาบาลรัฐน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพิงสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐเป็นหลัก
ขณะที่ร้านขายยารายย่อยต้องเผชิญการแข่งขันจากการเติบโตของร้านขายยาแฟรนไชส์ และการขยายจุดจำหน่ายยาของห้างค้าปลีก
ทั้งนี้ เม็ดเงินค่าใช้จ่ายสำหรับยาต้นตำรับ (original drugs) ต่อยาชื่อสามัญ (generic drugs) มีสัดส่วนประมาณ 45 : 55 ของค่าใช้จ่ายยาในประเทศทั้งหมด
ยาสามัญฐานใหญ่ “อินเดีย-จีน”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า การเติบโตของตลาดยาในประเทศน่าจะเป็นโอกาสของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้ายาจากต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากกว่า 70% ของมูลค่าตลาดยาทั้งหมดเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า “ยาต้นตำรับ”
จากแหล่งผลิตเจ้าของสิทธิบัตรอย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เพื่อใช้สำหรับการรักษาโรคสำคัญ อาทิ ยารักษาโรคมะเร็ง ยากลุ่มโรคเลือด ยากลุ่มระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งการใช้ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยที่มีกำลังซื้อ รวมไปถึงคนไข้ต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาในไทย
ส่วนการนำเข้า “ยาชื่อสามัญ” ส่วนใหญ่มาจาก “อินเดีย” และ “จีน” ที่เจ้าของสิทธิบัตรได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปประเทศดังกล่าว ด้วยปัจจัยด้านต้นทุนแรงงาน ความพร้อมด้านเทคโนโลยี และบุคลากร อีกทั้งจีนและอินเดียยังมีกำลังการผลิตสารตั้งต้นในการผลิตยา (APIs)ถึง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตรวม
ขณะที่การผลิตยาในประเทศ เกือบทั้งหมดเป็น “ยาชื่อสามัญ” นำโดยองค์การเภสัชกรรม ผู้ผลิตยารายใหญ่ และบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย เป็นการผลิตยาชื่อสามัญและการรับผลิตยาสำเร็จรูป โดยนำเข้าสารตั้งต้น หรือส่วนประกอบของยาเข้ามาเพื่อการผลิตขั้นสุดท้าย
ซึ่งผู้ผลิตยาชื่อสามัญในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงกับยาชื่อสามัญที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีความได้เปรียบในเรื่องของปริมาณการผลิต และการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) ส่งผลให้ภาพรวมของมูลค่าตลาดยาในประเทศจึงยังเป็นการพึ่งพิงการนำเข้าในสัดส่วนที่สูง
แผนลดนำเข้ายาต่างประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หากไทยต้องการลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยาตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิต ยาในประเทศ
โดยเฉพาะ “ยาชื่อสามัญ” ที่ผู้ผลิตน่าจะมีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มาตรการช่วยลดต้นทุนด้านอื่น ๆ ในการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยา รวมถึงการสนับสนุนเงินลงทุนในระยะแรกที่ยา ยังไม่ออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ ซึ่งน่าจะสามารถดึงดูดการลงทุนได้ตามการเติบโตของตลาดยาในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ อาจมีการส่งเสริมโครงการร่วมลงทุนหรือโครงการนำร่องร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่มีความพร้อม เพื่อพัฒนาการผลิต “ยาต้นตำรับ” รวมไปถึงการพัฒนายาจากสมุนไพรและพืชเศรษฐกิจ เช่น ขมิ้นชัน กระชายขาว กัญชา/กัญชงทางการแพทย์
ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติ และที่สำคัญจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับให้กับผู้ใช้ (โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์) ทั้งเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของยาที่ผลิตในประเทศ ซึ่งน่าจะเริ่มใช้ในสถานพยาบาลของรัฐที่มีสัดส่วนการใช้ยาที่ค่อนข้างสูง เพื่อช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดการใช้ยาที่ผลิตในประเทศ
ขณะที่การผลิตยาต้นตำรับอาจจะยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตไทยยังต้องเสริมศักยภาพในการวิจัยและผลิตยาเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตร (CL) การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ หากไทยมีมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านเงินลงทุน เทคโนโลยีและบุคลากรตลอดจนการส่งเสริมการตลาดให้ภาคธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพ (healthcare) หันมาใช้ยาที่ผลิตในประเทศได้มากขึ้น นอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ผลิตในประเทศแล้ว ก็น่าจะทำให้สัดส่วนการนำเข้ายา โดยเฉพาะยาชื่อสามัญลดลงได้ และช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นภาระทางการคลังของรัฐอีกด้วย
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance