กรุงศรี กำไรสุทธิปี’64 กว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โตกว่า 46% จากการบันทึกกำไรพิเศษขายหุ้น “เงินติดล้อ” ขณะที่กำไรธุรกิจปกติโต 11% สินเชื่อรวมขยายตัว 3.1% โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอีโต 6.6% จากการสนับสนุนสภาพคล่องประคองธุรกิจเอสเอ็มอีฝ่าวิกฤตโควิด
วันที่ 20 มกราคม 2565 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ เปิดเผยผลประกอบการของปี 2564 มีกำไรสุทธิ จำนวน 33,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 46.7% หรือ 10,754 ล้านบาท จากปี 2563 มีปัจจัยหลักคือกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาสที่ 2/2564 หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติในปี 2564 อยู่ที่จำนวน 25,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% หรือจำนวน 2,569 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า
โดยเงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 57,441 ล้านบาท จากเดือนธันวาคม 2563 สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขยายตัว 6.6% และ 3.9% ตามลำดับ
ขณะที่เงินรับฝาก ลดลง 3.0% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2563 สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุก ในการลดสัดส่วนเงินรับฝากประจำ และชดเชยด้วยเงินรับฝากออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จากการออกมาตรการช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในปี 2564 อยู่ที่ 3.24% จาก 3.47% ในปี 2563
ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,243 ล้านบาท หรือ 37.5% จากปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ
ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงศรียังคงบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินธุรกิจตามปกติอยู่ที่ 43.2% ในปี 2564
ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.20% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 เทียบกับ 2.00% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 กรุงศรียังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมที่ระดับ 167 เบสิสพอยท์ (Credit Cost) เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกที่ 184.2% จาก 175.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 และ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 18.53% เพิ่มขึ้นจาก 17.92%ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินงานในสถานการณ์วิกฤต กรุงศรีในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบยังคงมีความมุ่งมั่นในพันธกิจการทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงินด้วยจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
โดยมีเป้าหมายสองประการในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบผ่านมาตรการ/โครงการช่วยเหลือลูกค้าในระยะสั้น พร้อมอำนวยสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจในระยะยาว”
“การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลายระลอกในระหว่างปีที่ผ่านมา และมาตรการควบคุมโรคที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจชะลอตัวลง ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกิดความล่าช้า โดยคาดว่า ปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.2% และจะขยายตัว 3.7% ในปี 2565”
นายเซอิจิโระ กล่าวว่า กรุงศรีในฐานะสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบของประเทศ จะยังคงทำหน้าที่ตัวกลางทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือลูกค้าโดยเฉพาะด้านสภาพคล่องต่อภาคธุรกิจ SME และภาคครัวเรือน รวมถึง การอำนวยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.89 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.5 ล้านล้านบาท
ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.79 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.53% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.56%
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance